สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวในตุรกี TURKEY

เมืองคัปปาโดเชีย ขึ้นบอลลูน ชมนครใต้ดิน พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่

 (Cappadocia, Underground City, Göreme Open Air Museum)

เมืองนี้มีเอกลักษณ์สุดๆ   ภูมิประเทศของเมืองนี้แปลกตามาก พื้นที่ของเมืองคัปปาโดเชียจะเต็มไปด้วยแท่งหินปูนที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อ 3 ล้านปีก่อน แล้วลาวาเหล่านั้นก็ได้ก่อตัวเป็นชั้นแผ่นดินใหม่ โดนลม น้ำกัดเซาะ จนกลายเป็นรูปกรวยคว่ำ เป็นทรงคล้ายกับกระโจม โดม กระจายอยู่เต็มเลย จึงถูกขนานนามว่า “ดินแดนแห่งปล่องไฟนางฟ้า”  และเราก็จะได้เห็นวิวุมุมสูงของ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ ด้วย

ซึ่งทัวร์บอลลูนมีให้บริการเกือบทุกวัน เริ่มตั้งแต่เวลาพระอาทิตย์ขึ้น ระยะเวลาก็ประมาณ 1 – 1 ชั่วโมง 30 นาที แนะนำว่าก่อนไป ควรจัดแพลน และเช็คสภาพกาศดีๆ ก่อน  ไม่อยากให้พลาด เพราะถ้าช่วงไหนที่อากาศไม่เหมาะสม ก็จะไม่สามารถขึ้นบอลลูนได้ เช็ควันเวลาที่ให้บริการ และแพ็คเก็ตราคาทัวร์บอลลูน

 

 นครใต้ดิน (Underground City) แห่งคัปปาโดเชีย เมื่อ 2-3 พันปีก่อนคริสตกาล มีกลุ่มคนที่เรียกว่า อัสซีเรีย ได้มายึดพื้นที่คัปปาโดเชียสร้างเป็นอาณาจักรของตัวเอง ต่อมาภายหลังเริ่มเข้าในช่วงคริสตกาลแล้ว ได้มีการบุกรุกของชาวโรมัน ทำให้ก่อเกิดสงครามขึ้นบนแผ่นดินของเมืองนี้ อัสซีเรีย หรือ ชาวคัปปาโดเชีย

ยุคแรกก็ได้มีการขุดเจาะพื้นดินลึกลงไปกว่า 10 ชั้น สร้างเป็นเมืองใต้ดินเพื่อเป็นหลุมหลบภัย แต่สงครามครั้งนั้นกินระยะเวลายาวนานมาก พวกเขาทำการขุดเจาะไปเรื่อยๆ จนใต้พื้นดินคัปปาโดเชียกลายเป็นเมืองอีกหลายๆ เมือง แต่เมืองที่ใหญ่ที่สุด ชื่อว่า เดอรินกูยู (Underground City of Derinkuyu) มีทั้งหมด 8 ชั้น ลึก 85 เมตร ภายในมีทั้ง โบสถ์คริสจักร โรงเรียนสอนศาสนา โรงเก็บไวน์ คอกไม้ และบ่อน้ำ ยังมีอีกหลายส่วนที่ยังไม่ได้ขุดค้น

 

แค่นี้ก็น่าทึ่งสุดๆ  คนสมัยโบราณนี้สุดยอด สามารถทำสถานที่ได้สวยงามและตื่นตาตกใจ นครใต้ดินสามารถเข้าชมได้ช่วงฤดูร้อนเปิดเวลา 8.00 – 19.00 น. ส่วนช่วงฤดูหนาวจะเปิดเวลา 8.00 – 17.00 น. ค่าเข้าชม 20 TL หรือ ประมาณ 140 บาท

 

 พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ (Göreme Open Air Museum) เป็นผลงานประวัติศาสตร์แห่งวงการศาสนาคริสต์ในดินแดนตุรกี ที่ได้รับบันทึกอยู่ใน UNESCO World Heritage List ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1984 ซึ่งเกิดขึ้นจากการขุดเจาะถ้ำหินหลายลูก และสร้างเป็นโบสถ์ในยุคสมัยศตวรรษที่ 3 ถึง 8 ด้วยความต้องเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ภายในถ้ำจะถูกออกแบบให้ผนังสูง โค้ง ตกแต่งด้วยรูปปั้นจิตกรรมฝาผนัง ทาสีแดง ลักษณะแบบโบสถ์เซนต์บาร์บารา ส่วนของกำแพงโบสถ์นั้นก็จะถูกเจาะตามรูปทางเรขาคณิต

ถ้ามองจากด้านนอกนี่นึกว่าเป็นบ้านชนเผ่ายุคหิน แต่พอได้เข้าไปด้านในถึงได้รู้ว่าอารมณ์คล้ายๆ วัดที่อยู่ในถ้ำบ้านเรา พิพิธภัณฑ์สามารถมาเยี่ยมชมได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 8.00 – 19.00 น. ค่าเข้าชม 15 TL หรือ ประมาณ 103 บาท

 

ปามุคคาเล่ 

(Pamukkale)

ปามุคคาเล่ หรือ ปราสาทปุยฝ้าย สถานที่ท่องเที่ยวขั้นสุดยอดของตุรกี ตั้งอยู่ในเมืองเดนิซลี “เมืองแห่งสปา” นั่นเอง ที่นี่ถูกค้นพบโดยชาวโรมันหลายพันปีมาแล้ว เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงมากในหมู่นักท่องเที่ยว รวมถึงชาวตุรกีด้วย ปามุคคาเล่เป็นแหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติ เกิดจากความดันความร้อนใต้พื้นดินที่ 35- 36 องศาเซลเซียส จึงให้เกิดการประทุน้ำมีแคลเซียมไฮดรอกซัลคาร์บอเนตออกมา รวมถึงพื้นที่ส่วนนี้มีการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกอยู่บ่อยครั้งจึงก่อให้เป็นแหล่งบ่อน้ำพุร้อนจำนวนมาก เมื่อบ่อน้ำพุร้อนหลายบ่อรวมตัวกัน ทำให้มีการก่อตัวของแร่ธาตุขนาดใหญ่

 

ว่ากันว่าน้ำพุร้อนแห่งนี้มีอายุมากว่า 14,000 ปี ทำให้ตะกอนที่ไหลฝั่งตัวทับรวมกันจนเป็นตะไคร่น้ำสีขาว และกลายเป็นปราสาทปุยฝ้ายแบบนี้นั่นเองค่า ส่วนน้ำสีฟ้าใสเหมือนแสงตกกระทบกับกระเบื้องหินอ่อนนั้นเกิดจากน้ำร้อนที่ได้สัมผัสกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และศูนย์เสียความร้อน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ได้สัมผัสกับอากาศ นั่นเลยทำให้แคลเซียมคาร์บอเนตตกตะกอน พื้นน้ำในบ่อน้ำพุร้อนเหล่านี้จึงมีสีฟ้าสวยสด 

ท่านใดมีแพลนจะมาแช่น้ำแร่ธรรมชาติที่นี่ก็สามารถไปได้ที่ อุทยานแห่งชาติปามุคคาเล่ (Pamukkale Natural Park) เสียค่าเข้าเพียง 20 TL หรือ ประมาณ 130 เท่านั้นจ้า ก่อนจะเดินเข้าไปในอุทยานจะมีป้ายติดไว้ว่าให้ถอดรองเท้าก่อนเดินเข้าไปนะคะ เล็กๆ น้อยๆ ช่วยกันรักษาธรรมชาติที่สวยงามนะคะ เมื่อเดินเข้าไปขออึ้งกับความใหญ่ของภูเขาเกลือแห่งนี้จริงๆ ธรรมชาติชั่งสรรค์สร้าง อึ้งอีกรอบกับนักท่องเที่ยว  ที่นี่ยุ่งตลอดทั้งปีจริงๆ ค่ะ แนะนำว่าให้ไปช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูใบไม้ผลิจ้า เพราะน้ำจะเต็มทุกบ่อแล้วก็ไม่ร้อนมากไม่หนาวเกิน แต่ไม่ต้องกลัวค่ะ น้ำที่นี่ไหลทั้งปีเลย ใครไปช่วงหน้าร้อน น้ำก็จะแห้งๆ หน่อยนะคะ ส่วนหน้าหนาวสำหรับคนไทยก็ไม่แนะนำ เพราะพื้นที่ส่วนนี้ติดกับทะเล ทั้งลม ทั้งหิมะ ไข้กินแน่นอนค่ะ การจะลงไปแช่น้ำเสื้อผ้าที่ควรเตรียมไปก็จะดีถ้าเป็นกางเกงขาสั้นพอดีๆ กับ เสื้อยืด  ที่นี่ไม่จำเป็นต้องใส่ชุดว่ายน้ำเพื่อลงไปแช่ได้เลย

มีตำนานเล่าว่าเคยมีหญิงสาวชาวโรมันคนหนึ่งมีหน้าตาน่าเกลียด เธอทั้งถูกรังเกียจ และไม่มีชายใดหมายปองที่จะแต่งงานด้วย ทำให้เธอคิดอยากตาย จึงมากระโดดหน้าผาหินที่นี่ แต่กลับเกิดปาฏิหารย์ขึ้นเมื่อเธอตกลงไปในบ่อน้ำ และไม่ตาย แถมยังมีหน้าตามีสดสวยงดงาม แล้วไปถูกตาต้องใจของท่านลอร์ดแห่งเมืองเดนิซลีอีกด้วย สุดท้ายทั้งคู่แต่งงานกัน     จากตำนานที่เป็นเรื่องเล่าต่อๆ กันมาทำให้คนเชื่อว่าการมาแช่น้ำพุร้อนที่นี่จะช่วยเรื่องการบำรุงผิว และด้วยแร่ธาตุจากธรรมชาติของดิน การแช่น้ำแร่ที่นี่ช่วยเรื่องการไหลเวียนของเลือด ความดันโลหิต กระตุ้นร่างกายจากความอ่อนเพลีย และอีกหลายๆ โรค ซึ่งนั้นก็ทำให้ปามุคคาเล่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างมาก ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นสปารีสอร์ทไปแล้ว

 

 นครโบราณเฮียราโปลิส (Hierapolis) เป็นเมืองโบราณที่มีอายุเก่าแก่ถึง 2,200 ปี ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงราว 200 เมตร ซึ่งเป็นแหล่งรวมแร่หินปูนขนาดใหญ่นั่นทำให้เมืองนี้แตกต่างจากที่อื่นๆ และได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกจาก UNESCO ในปี 1970 ด้วยจ้า ซึ่งภายในเมืองโบราณจะมี โรงละครโรมัน (Roman Theatre)  สร้างขึ้นจากความคิดสร้างสรรค์ของคนยุคโรมัน โดยการสกัดเข้าไปในไหล่เขา เพื่อให้เป็นที่นั่งสำหรับคนนั่งชมการแสดง

 

พระราชวังทอปกาปี 

(Topkapi Palace)

พระราชวังทอปกาปี หรือที่รู้จักกันในชื่อวังสุลต่าน เป็นอีกหนึ่งเเลนด์มาร์คของเมืองอิสตันบูล สร้างขึ้นโดยสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 (Mehmed the Conqueror) ใช้เป็นที่ประทับของสุลต่านหลายพระองค์ต่อกันมาหลายศตวรรษ โดยมีทั้งหมด 3 ส่วนคือ พระราชวังชั้นนอก เป็นสวนขนาดใหญ่ที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ร่มรื่น น่าเดินเล่นมากๆ เลยค่า มีอาคารสไตล์ตุรกีดั้งเดิมที่ยังคงสภาพเดิมไว้อย่างดีสุดๆ ใช้เป็นสถานที่ออกว่าราชการและต้อนรับแขกคนสำคัญของเมือง

 

พระราชวังชั้นใน เป็นที่พำนักของมเหสีและเหล่าสนม รวมถึงลูกหลานของสุลต่านด้วย  ส่วนของชั้นในนี้สมัยก่อนเป็นที่ต้องห้าม ผู้ชายห้ามเข้า

ฮาเร็ม สวรรค์ของสุลต่าน มีห้องพักมากมายกว่า 300 ห้อง และเต็มไปด้วยหญิงสาวที่ได้รับการฝึกอบรมความสามารถด้านต่างๆ เช่น การร้องเพลง เล่นดนตรี เต้นรำ เพื่อเอาใจสุลต่าน และต้องตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ตลอดชีวิต

ปัจจุบันพระราชวังทอปกาปีกลายเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติสำหรับจัดแสดงสมบัติอันล้ำค่าของสุลต่านองค์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โบราณวัตถุอันศักดิ์สิทธิ์ อาวุธในสมัยออตโตมันน์ เช่น ดาบ ปืน ธนู กระบี่ ขวาน ชุดเกราะ และเครื่องราชบรรณาการจากทั่วโลก รวมถึงเครื่องกระเบื้องของจีนกับญี่ปุ่นกว่า 12,000 ชิ้น โดยเครื่องถ้วยชามอันโด่งดังของจีน เรียกว่า เซลาดอน (Celadon) โดยสุลต่านจะให้ใส่อาหารลงไป ถ้ามียาพิษเจือปน เครื่องถ้วยนี้จะมีน้ำออกมาและเปลี่ยนสีนั่นเอง

และเครื่องประดับสุดเลอค่า ทั้งทอง หยก มรกต ทับทิม ทีเด็ดที่ถือเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในพระราชวังก็คือ เพชรรูปหยดน้ำ 86 กะรัต ประดับด้วยเงินบริสุทธิ์ เคยใช้ทำเป็นแหวนมาก่อนด้วย ขอกราบที่ข้อนิ้วงามๆ แข็งแกร่งกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ด้วยความงดงามอลังการของเพชรเม็ดนี้ด่งดังจนถูกนำมาเขียนลงนิยายเรื่อง 

The Light Of Day และสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง Topkapi ด้วย

 

 

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยท่องเที่ยว ติดตาม

M.O.TOURANDSERVICE CO.LTD www.tourandservice.com

license no.11/04924

incentive group tour,เที่ยวแบบครอบครัว เที่ยวเป็นคณะ private

ศูนย์รวมทัวร์ดีมีคุณภาพทั้งในและต่างประเทศ

sport day ,walk rally, car rally ,boat rally สัมนาพัฒนาองค์กร

คิดถึง tourandorganize คิดถึงความสุข นึกถึงเรา M.O.TOURANDSERVICE

     Hotline 0851635888 0852415888